Rangsiman Rome

คืนศักดิ์ศรีให้กับประชาชน

ไม่ใช่แค่เปลี่ยนรัฐบาล แต่ต้องเปลี่ยนประเทศ เปิดนโยบายสิทธิเสรีภาพของพรรคก้าวไกล “คืนศักดิ์ศรีให้กับประชาชน”

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 65 ผมได้ร่วมกิจกรรมเปิดตัวนโยบายประชาธิปไตยของพรรคก้าวไกล “ต้องก้าวไกล ให้การเมืองไทยก้าวหน้า” โดยผมรับผิดชอบในส่วนของการแถลงนโยบายด้านสิทธิและเสรีภาพ

จากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองกว่า 16 ปีที่ผ่านมา ได้ประจานให้เราได้เห็นถึงกระบวนการบ่อนทำลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเป็นระบบ การตีความกฎหมายทั้งฉบับใหม่และฉบับที่มีอยู่แล้วในทางที่บิดเบือนไปสู่อำนาจนิยมและการกดขี่ประชาชนไม่ให้ได้รับรู้ ไม่ให้พูด ไม่ให้ตั้งคำถาม ไม่ให้แสดงออกใด ๆ ที่โต้แย้งผู้ที่ถือครองอำนาจอยู่

ผมขอเสนอนโยบายเพื่อคืน “ศักดิ์ศรีของประชาชน” ที่พรรคก้าวไกลใช้ยืนยันว่าสำหรับพวกเราแล้ว พี่น้องประชาชนทุกท่านคือเจ้าของอำนาจสูงสุดตัวจริง คือผู้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คู่ควรที่จะได้รับสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับที่ประชาชนของนานาอารยประเทศได้รับ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 เรื่องด้วยกันคือ

1. เริ่มต้นกันที่นโยบายที่สำเร็จและเตรียมรอลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย นั่นคือร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ที่เครดิตทั้งหมดขอมอบให้กับภาคประชาชนผู้ริเริ่มเสนอร่างกฎหมายเข้ามา พรรคก้าวไกลขอสานต่อโดยพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือครอบครัวของเหยื่อผู้ถูกอุ้มหายในอดีต เพื่อดำเนินค้นหาความจริงตามมาตรานี้ เราหวังว่านี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญของการคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้สูญเสียที่ต้องอยู่กับความรู้สึกอันเจ็บปวดมาเป็นเวลานาน

2. นโยบายที่พรรคก้าวไกลเคยได้เสนอเข้าสู่สภา และในปัจจุบันก็ยังคงรอถึงวาระพิจารณาในช่วงโค้งสุดท้ายของสภาชุดนี้ เช่น “ชุดร่างกฎหมายคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของประชาชน” ที่ถูกนำมาใช้เพื่อปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมืองจากการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ การเพิ่มนิยามของ “คดีฟ้องปิดปาก” หรือคดีที่รัฐหรือกลุ่มทุนฟ้องกลั่นแกล้งผู้ที่ออกมาวิจารณ์ การเพิ่มความผิดฐานบิดเบือนกฎหมายที่กระทำโดยเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ทั้งตำรวจ อัยการ และผู้พิพากษา การร่างแก้กฎหมายอาญามาตรา 116 ไม่ให้มาเอาผิดกับผู้ใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญหรือติชมโดยสุจริต และร่างแก้ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ยกเลิกข้อจำกัดที่ไม่สอดคล้องกับหลักเสรีภาพในการจัดการชุมนุมโดยสันติ

3. นโยบายสิทธิเสรีภาพที่พรรคก้าวไกลได้นำเสนอเข้าสภา แต่ถูกฝ่ายรัฐบาลปัดตกไป ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมีสภาชุดหน้า ทั้งหมดนี้จะยังเป็นนโยบายที่พรรคก้าวไกลใช้ในการขับเคลื่อนต่อไปเช่นเดียวกัน เช่น การแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อวิกฤตทางการเมืองในปัจจุบันเพื่อป้องกันการใช้กฎหมายในลักษณะของการกลั่นแกล้งในแบบที่ผ่านมา, การแก้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้มีการถ่วงดุลโดยสภาและศาลปกครอง

4. เป็นนโยบายที่เป็นเรื่องใหม่ที่เราจะเสนอและผลักดันในสภาชุดหน้า ตั้งแต่การร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยกำหนดให้ศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุด และศาลรัฐธรรมนูญ มีความยึดโยงกับประชาชนและตรวจสอบได้ การแก้ พ.ร.บ.ความมั่นคง และ พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ดึงอำนาจพิเศษของหน่วยงานความมั่นคงให้กลับมาอยู่ภายใต้การตรวจสอบ และที่สำคัญเราจะเสนอให้ประเทศไทยให้สัตยาบันในธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ที่มักเกิดขึ้นภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐประหารแล้วลอยนวลพ้นผิดเพราะกระบวนการยุติธรรมภายในประเทศไม่นำพา รวมถึงเสนอให้นิรโทษกรรมประชาชนทุกคนที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองด้วยการบิดเบือนกฎหมายของผู้มีอำนาจตั้งแต่เกิดการรัฐประหารเป็นต้นมา

ทั้งหมดนี้คือนโยบายที่พรรคก้าวไกลมุ่งผลักดันเพื่อสิทธิในชีวิต สิทธิในเสรีภาพ สิทธิในการได้รับความยุติธรรมของประชาชนชาวไทย ซึ่งพี่น้องทุกท่านคงเห็นแล้วว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะผลักดันนโยบายเหล่านี้ให้ลุล่วงตลอดรอดฝั่งได้ในฐานะฝ่ายค้านภายใน้ระบอบที่สืบทอดมาจากเผด็จการ แต่มันจะเปลี่ยนไปหากพรรคก้าวไกลได้รับเลือกตั้งไปเป็นเสียงข้างมากในสภา มันจะเปลี่ยนไปหากพรรคก้าวไกลได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนให้เข้าไปบริหารประเทศ

ณ วันนี้เราอาจโหยหารัฐบาลที่จะช่วยเติมเต็มปากท้อง พลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมามีความหวัง มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งพรรคก้าวไกลเข้าใจและพร้อมที่จะตอบโจทย์ข้อนี้แก่พี่น้องเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรอีกด้านหนึ่งของความเป็นมนุษย์นั้น เราอยู่อย่างไม่มีศักดิ์ศรีไม่ได้หรอกครับ เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึงไม่ช้านี้ ผมและพรรคก้าวไกลขอเสียงแห่งเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนอีกสักครั้ง เพื่อไปปลดปล่อยอำนาจที่เป็นของพี่น้องประชาชนกลับคืนมา ให้อำนาจสูงสุดเป็นของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง