การอภิปราย
ตั๋วช้าง
ในการทำหน้าที่ ส.ส. ผมรู้ว่าครั้งนี้เป็นการทำหน้าที่อันตรายที่สุดในชีวิต
แต่เมื่อประชาชนเลือกมาแล้ว ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ผมไม่รู้ว่าผลจากการทำหน้าที่ในวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้
ไม่รู้ว่า 3 วันข้างหน้ามีอะไรรออยู่ ไม่รู่ว่า 3 เดือนข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น จะยังพูดแทนประชาชนได้หรือไม่...
แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่เสียใจที่ได้ทำหน้าที่ของผมในวันนี้
การอภิปรายนอกสภาเรื่อง ‘ตั๋วช้าง’
ตอนที่ผมอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2564 นับว่าเป็นการอภิปรายที่ผมเผชิญกับความเสี่ยงและอุปสรรคต่างๆมากมาย มีความพยายามที่จะห้ามไม่ให้ผมอภิปรายในเรื่องนี้ในสภาจนจบ แต่เพื่อนำเสนอข้อมูลที่ครบถ้วนต่อพี่น้องประชาชนผมจึงเลือกที่จะนำเรื่องนี้มาอภิปรายนอกสภาอีกครั้งครับ ซึ่งผมได้สรุปเรื่องราวต่างๆ ไว้ในบทความนี้แล้ว
ปฐมบท #ตั๋วตำรวจ
การเริ่มต้นพูดถึงเรื่องนี้ต้องนับย้อนไป เมื่อคราวอภิปรายไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในข้อหา บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวผิดพลาดบกพร่อง อยากร้ายแรง ไร้คุณธรรมจริยธรรมปล่อยปละละเลย ปกปิดการกระทำให้มีการทุจริตไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปกปิดการกระทำความผิดของตนเองและพวกพ้อง ไม่ยึดมั่นและศรัทธาในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระมหากษัตริย์กับพี่น้องประชาชน แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเกาะคุ้มกัน ป้องกันความผิดพลาดของตัวเองในการบริหารราชการแผ่นดิน ละเมิดหลักนิติรัฐนิติธรรม และที่สำคัญทำลายระบบคุณธรรมในระบบราชการ และเหตุผลของการอภิปรายครั้งนี้คือความล้มเหลว และไม่โปร่งใส ของนายกฯ และรองนายกฯ ที่มีต่อการบริหารราชการตำรวจ จนกลายเป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มผลประโยชน์และความทุจริตที่จะตามมาอย่างมากมายนับไม่ถ้วน พล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร ต่างก็มีหน้าที่ควบคุม ดูแล บริหารงานด้านตำรวจ แต่กลับปล่อยให้คนที่ไม่มีอำนาจเดินเรื่อง วิ่งเต้นแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจรวมถึงละเลยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ควรจะเป็น ในฐานะก.ตร. หรือคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ
คำสารภาพ #ตั๋วตำรวจ
“การวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง ถ้ามีเงิน มีตั๋ว มีผลงานด้วย รับรองผ่านฉลุย… แต่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่หนุน อาจต้องเสียเงิน 8 ล้าน แต่ถ้ามีตั๋วจากผู้ใหญ่ อาจเสียแค่ 4 ล้าน เพราะเกรงใจกัน…” อดีตพล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร เมื่อกรกฎาคม 2559
“ผมจะขอเป็นบทเรียนให้น้อง ๆ และนรต.ทุกคนเห็นว่าทำดี ไม่มีมีผล…ดังนั้นไม่ต้องทำงาน มีนาย มีเงิน มีตั๋ว ท่านจะได้ทุกอย่าง… “พ.ต.อ.กันตพงษ์ นิลขำ โพสต์เฟสบุ๊คตัดพ้อระบบตั๋ว
แม้ว่าเรื่องทั้งสองอาจเป็นคนละกรณีกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันและพูดตรงกัน คือ มีตั๋ว ตั๋วที่เปรียบเสมือนคูปองลดราคาสำหรับการวิ่งเต้น ซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจ
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น มีเอกสารราชการฉบับหนึ่ง วงวันที่ 14 มีนาคม 2562 เรื่องสนับสนุนขอรับการแต่งตั้ง ส่งถึงผบ.ตร. เนื้อหาคือการขอสนับสนุนขอรับการแต่งตั้งนายตำรวจ 3 นาย โดยให้ไปดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามหน่วยที่ต่างกันและที่สำคัญไม่ได้เป็นหน่วยที่พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ดูแลอยู่ กล่าวคือเป็นข้อสนับสนุนขอรับการแต่งตั้งข้ามหน่วย ข้ามกองของตัวเอง ลงนามโดยมีพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมลตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 (ยศในขณะนั้น) แต่หากดูแนวปฏิบัติการแต่งตั้งโยกย้ายแล้วนั้น จะต้องเป็นกองใครกองมัน น่าสนใจว่าการกระทำของพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ในครั้งนี้ใช้อำนาจตามกฎหมายใด และพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร เคยรู้เรื่องเหล่านี้หรือไม่
(การมีตั๋ว)
ทำให้วงการตำรวจ เพิกเฉยต่ออาชญกรรม กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ เปิดบ่อนไม่ว่า
ค้ายาบริสุทธิ์ เจอเจ้าพ่อแล้วนอบน้อม แต่เจอม็อบแล้วสู้ตาย
จากรองสารวัตรผู้มาสาย สู่ ผู้บัญชาการอนาคตไกล
หากจำกันได้ผู้ที่ลงนามในหนังสือราชการฉบับก่อนหน้านี้คือพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หากย้อนไปดูชีวิตราชการของพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ 3 ข้อที่เป็นประเด็นที่น่าสงสัยไม่น้อยไปกว่าเอกสารที่เขาออก ข้อแรก ชีวิตราชการของพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ นั้นมาสายพอสมควร เข้ารับราชการตำรวจเมื่อพ.ศ.2541 มีอายุ 33 ปี ซึ่งอายุขนาดนี้คงยากที่จะเป็นใหญ่ในอนาคตได้ ข้อสอง การเติบโตในอาชีพของพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ ก็เติบโตเป็นปกติเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2559 ดำรงตำแหน่งผกก.หน่วยคอมมานโด และข้อสามซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะแปลกกว่าวิสัยปกติ คือ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์ติดต่อกันถึง 3 ครั้ง จากรองสารวัตรขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ภายในเวลา 3 ปี 4 เดือน ประหยัดเวลาไปได้ 8 ปี 8 เดือน การยกเว้นหลักเกณฑ์เช่นนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรหรือไม่ แล้วเหตุใดพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จึงได้รับการยกเว้นหลักเกณฑ์เช่นนี้
หากย้อนกลับไปดูเอกสารขอสนับสนุนขอรับการแต่งตั้งนายตำรวจ 3 ท่านก่อนหน้า จะเห็นได้ว่าให้เหตุผลในการขอสนับสนุนว่า “ผ่านการอบรมหลักสูตร จิตรอาสา 904หลักสูตรประจำและในปัจจุบัน บุคคลดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่ ตามที่ ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสา 904 มอบหมายภารกิจ” จึงขอสนับสนุนให้แต่งตั้ง เรื่องนี้จำเป็นต้องตั้งคำถามตัวใหญ่ ๆ ว่า เหตุใดโครงการจิตอาสา 904 จึงเป็นเงื่อนไขของการเลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง ของข้าราชการ แล้วใครกันกำกับดูแลโครงการนี้อยู่ ซึ่งหากเราย้อนไปดูก็จะพบว่าประธานโครงการนี้ คือ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล เลขาธิการพระราชวัง ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของพล.ต.ต.ต่อศักดิ์ สุขวิมล หรือนี่จะเป็นคำตอบของเหตุผลที่มีการยกเว้นหลักเกณฑ์ให้ พล.ต.ต.ต่อศักดิ์ ถึง 3 ครั้งใช่หรือไม่ และถ้าหากใช่ เหตุใด พล.อ.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และผู้กำกับดูแลในฐานะประธานก.ตร.
เขาว่ากันว่า นี่คือตั๋วช้าง
MGR Online ลงข่าวเมื่อ 15 มิ.ย.60 ความตอนหนึ่งพูดถึงตั๋วที่ชื่อว่า ตั๋วช้าง ตั๋วประเภทนี้ ว่ากันว่ามีพลังมากที่สุด เป็นตั๋วที่ว่ากันว่าการันตีผลได้แน่ ๆ ได้ตามที่ขอ ไม่มีความผิดพลาด และสิ่งที่เป็นพยานหลักฐานสำคัญที่อาจสงสัยได้ว่าจะใช่ตั๋วช้าง นั้นก็คือ หนังสือจากสำนักราชเลขานุการในพระองค์ 904 ลงวันที่ 23 ม.ค.2562 เรื่องขอรับพระมหากรุณาธิคุณแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ รวมทั้งสิ้น 20 นาย โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องใช้ตำรวจที่มีความจงรักภักดี ซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่ ท้ายหนังสือลงนามโดยพล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการการในพระองค์ฯ และก็เป็นที่แน่ชัดว่า พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ทำงานอยู่ที่สำนักพระราชวัง ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งอื่นใดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวมถึงไม่ใช่กรรมการก.ตร. ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่มีอำนาจหน้าที่เป็นผู้รับเรื่องจากผบ.ตร. เพื่อเสนอขอเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้กับตำรวจได้ หรือผบ.ตร.เองก็ไม่ได้มีอำนาจในการส่งชื่อให้กับคนนอกสตช.หรือนอก ก.ตร. เพื่อเสนอของแต่งตั้งได้
พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะประธานก.ตร ปล่อยให้คนนอก ก.ตร.เข้ามาแทรกแซงการบริหารราชการตำรวจก็เป็นความผิดมากพออยู่แล้ว แต่ก็ยังปล่อยปละละเลยให้ผบ.ตร.ซึ่งเป็นคนใต้บังคับบัญชาของตัวเอง ไปติดต่อกับส่วนราชการในพระองค์ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานตำรวจเลย และพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตรจะอ้างว่าไม่รู้ ไม่เห็น ว่ามีเรื่องนี้วนเวียนอยู่ในวงการตำรวจเลยก็ดูจะไร้ความรับผิดชอบไปไม่น้อย แต่ก็ยังปล่อยให้บุคคลต่าง ๆ ภายใต้การกำกับดูแลใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ในเกาะเกี่ยวแอบอิง เพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง และพวกพ้อง และขนาดว่ามีหลักฐานเป็นเอกสารราชการแบบนี้ เหตุใดจึงไม่ดำเนินการใด ๆ กับบุคคลต่าง ๆ เหล่านี้เลย ซึ่งหากปล่อยให้เรื่องนี้เกิดต่อไปก็จะทำให้ปัญหาในวงการตำรวจของไทยยิ่งหมดความศรัทธา เชื่อถือ จากพี่น้องประชาชน หรือทั้งจากข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยที่ไม่มีตั๋ว เราจะให้พวกเขารู้สึกกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไร จะให้พวกเขาเคารพเทิดทูนอย่างสนิทใจได้อย่างไร หากยังมีคนที่แอบอ้างเหล่านี้อยู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะรับผิดชอบกับความรู้สึกของพี่น้องประชาชน และบรรดาข้าราชการคนอื่น ๆ อย่างไร และสุดท้ายตำรวจ แทนที่จะไปรับใช้ประชาชน ให้สมเจตนารมณ์ที่เข้าเป็นตำรวจ ก็ต้องไปทำตามคำสั่งนาย เพื่อหวังจะได้ตั๋ว และที่สำคัญถ้านายเขาไม่แคร์ประชาชน ตำรวจที่เข้ามาเพื่อช่วยเหลือประชาชน ก็ต้องไปเป็นศัตรูกับประชาชนอยู่เหมือนเดิม
หากใครอยากชมบรรยากาศสดๆ ของการอภิปรายเรื่องตั๋วช้างในสภา
สามารถดูได้จากวิดีโอด้านนี้ครับ
หรือรับฟังเบื้องหลังการทำงานก่อนอภิปรายไม่ไว้วางใจจากรายการสัมภาษณ์